top of page

What is the story of
Hiroo Onoda about?

IMG_1040_edited.jpg
IMG_1040_edited.jpg

HIROo 
ONODA

            ร้อยโทฮิโรโอะ โอโนดะ เป็นทหารคนนึงของประเทษญี่ปุ่นได้ซ่อนตัวอยู่ในป่าเป็นเวลา 30 ปีเพราะไม่เชื่อว่าสงครามได้จบลงเเล้ว ในปี 1944 ตอนนั้นเขาได้ถูกส่งตัวไปประจำการอยู่ที่เกาะลูบัง ประเทศฟิลิบปินส์กับทหารอีก 3 นาย

          ณ ภูเขาแห่งนั้น โอโนดะและเพื่อนยังคงปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งที่รับมาต่อไป ทหารทั้งสี่คนนี้ได้พบใบปลิวมีเนื้อความว่า "สงครามจบแล้ว" ในเดือนตุลาคม 1945 อีกครั้งหนึ่ง พวกเขาพบใบปลิวซึ่งทิ้งไว้โดยชาวเกาะ มีเนื้อความว่า "สงครามจบไปตั้งแต่ 15 สิงหาคมแล้ว ลงมาจากเขาเสีย!" ทว่า พวกเขาเห็นว่าใบปลิวเหล่านี้เป็นการโฆษณาชวนเชื่อของฝ่ายสัมพันธมิตร เพราะพวกเขาถูกไล่ยิงเมื่อสองสามวันก่อน[1]

หลังจากหลบซ่อนตัวอยู่บนภูเขาลูกนั้นกว่าหนึ่งปี พลเอกโทโมยูกิ ยามาชิตะ แห่งกองทัพภาคที่ 14 สั่งให้โปรยใบปลิวพร้อมคำสั่งให้พวกเขามอบตัวเสียอีกครั้งหนึ่ง ทหารทั้งสี่ได้รับใบปลิวและเชื่อกันว่าเป็นเรื่องเท็จ

            ในเดือนกันยายน 1949 พลทหารอากัตสึ ตัดสินใจละกลุ่ม หกเดือนถัดมา เขามอบตัวเองแก่กองทัพฟิลิปปินส์ ทหารสามคนที่เหลือเห็นว่าการกระทำของพลทหารอากัตสึนำปัญหาทางความมั่นคงมาให้แก่กลุ่ม และจัดการระแวดระวังมากขึ้น

            ในปี 1952 มีการโปรยจดหมายและรูปถ่ายจากครอบครัวของทหารทั้งสามลงมารอบบริเวณภูเขาเพื่อขอให้มอบตัว ทว่า ทหารทั้งสามยังคงเชื่อว่า สงครามยุติแล้วนั้นเป็นเรื่องเท็จ

            ในเดือนมิถุนายน 1953 สิบโทชิมาดะถูกคนหาปลาท้องถิ่นยิงขา แต่โอโนดะช่วยพยาบาลจนหาย ครั้นวันที่ 7 พฤษภาคม 1954 สิบโทชิมาดะถูกคณะค้นหาคนหายิงตาย

            ในเดือนธันวาคม 1959 มีประกาศว่าโอโนดะตายแล้ว ทว่า เหตุการณ์ในวันที่ 19 ตุลาคม 1972 ซึ่งพลทหารโคซูกะถูกเจ้าพนักงานตำรวจท้องถิ่นยิงตาย ขณะที่เขาและโอโนดะปฏิบัติการตามคำสั่งที่ได้รับมอบมาด้วยการเผายุ้งฉาง เป็นหลักฐานว่าโอโนดะยังไม่ตาย จึงมีการตั้งคณะค้นหาเขา แต่ไม่พบ

             วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 1974 โอโนดะพบโนริโอะ ซูซูกิ (Norio Suzuki) ซึ่งกำลังเดินทางรอบโลกเพื่อสืบหา "ร้อยโทโอโนดะ, หมีแพนด้า และปิศาจมนุษย์หิมะ

ตามลำดับทั้งสองกลายเป็นเพื่อนกัน ทว่า โอโนดะยังปฏิเสธที่จะมอบตัว เขากล่าวว่า เขายังรอคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาอยู่ ซูซูกิจึงกลับญี่ปุ่นพร้อมภาพถ่ายเขาคู่กับโอโนดะเพื่อยืนยันว่าได้พบกัน รัฐบาลญี่ปุ่นจึงส่งพันตรีทานิงูจิ ผู้บังคับบัญชาของโอโนดะ ลงพื้นที่ พันตรีทานิงูจิถึงเกาะลูบัง และพบโอโนดะในวันที่ 9 มีนาคม 1974 เขาแจ้งเรื่องการพ่ายสงครามของญี่ปุ่นให้โอโนดะทราบ และสั่งให้โอโนดะวางอาวุธเสีย

             หลังจากหลบซ่อนตัวในป่ามาเกือบสามสิบปีหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง โอโนดะได้ปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาที่ให้มอบตัว เขาได้แต่งเครื่องแบบ พร้อมดาบคู่กาย กับทั้งปืนอาริซากะไรเฟิลชนิด 99 ซึ่งยังใช้การได้ดี บรรจุกระสุนห้าร้อยนัดและระเบิดมืออีกจำนวนหนึ่ง ลงจากภูเขา

             แม้ในระหว่างอยู่บนเกาะ เขาได้ฆ่าราษฎรฟิลิปปินส์ไปสามสิบคน และประมือกับตำรวจท้องถิ่นอีกหลายครั้ง แต่เมื่อพิเคราะห์แล้ว ประธานาธิบดีเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส (Ferdinand Marcos) อภัยโทษให้เขา

             หลังจากกลับญี่ปุ่นแล้ว โอโนดะได้รับความนิยมเป็นอันมาก ถึงขนาดที่ชาวญี่ปุ่นบางคนอยากให้เขาเป็นสมาชิกรัฐสภา เขาได้เขียนหนังสืออัตชีวประวัติชื่อ "ไม่เคยยอมแพ้ สงครามสามสิบปีของข้าพเจ้า" ("No Surrender: My Thirty-Year War") บรรยายชีวิตของเขาในช่วงที่ปฏิบัติหน้าที่กองโจรตามคำสั่งของกองทัพญี่ปุ่นแม้ว่าสงครามจะยุติไปนมนานแล้วก็ตาม หนังสือดังกล่าวยังระบุว่า โอโนดะเองไม่ชอบใจนักที่ตนเองเป็นจุดสนใจ และไม่ชอบใจวัฒนธรรมสมัยใหม่ที่เขามองว่าลดคุณค่าประเพณีญี่ปุ่น หนังสือเช่นว่าได้รับการแปลเป็นภาษาไทย ให้ชื่อว่า "สู้สุดขีด" และตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี 1980 (พ.ศ. 2523)

             ในเดือนเมษายน 1975 เขาละญี่ปุ่นไปใช้ชีวิตเป็นชาวไร่ในบราซิล เขาแต่งงานกับสตรีญี่ปุ่นชื่อ มาจิเอะ (Machie) ในปีถัดมา ครั้นปี 1980 หลังจากได้อ่านข่าวเรื่องวัยรุ่นญี่ปุ่นที่ฆ่าบิดามารดาตนเอง เขาตัดสินใจกลับประเทศแม่ในอีกสี่ปีถัดมา แล้วจัดค่ายทางการศึกษาสำหรับเยาวชน เรียก "โรงเรียนธรรมชาติของโอโนดะ" (Onoda Shizen Juku) ต่อมา เขาได้เป็นผู้นำชุมชนด้วย

              ในปี 1996 โอโนดะเยือนเกาะลูบังอีกครั้ง เขาอุทิศเงินหนึ่งหมื่นดอลลาร์สหรัฐให้แก่โรงเรียนท้องถิ่น ในปี 2006 มาจิเอะ โอโนดะ ภริยาของเขา ได้เป็นนายิกาสมาคมสตรีญี่ปุ่น 

              แต่ละปี เขาจะเดินทางกลับไปใช้ชีวิตสามเดือนในบราซิล เขายังได้รับเหรียญกล้าหาญ "ซาตูส-ดูมง" (Santos-Dumont) จากกองทัพอากาศบราซิลเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2004 ด้วย ฮิโรโอะ โอโนดะ เสียชีวิตเมื่อวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2557 ที่กรุงโตเกียว ด้วยโรคปอดบวม

bottom of page